DreamsEnd
Body of Knowledge Area
Friday, August 5, 2022
เพลง รักหวานปานน้ำผึ้ง
Thursday, January 21, 2016
วิธีใช้ VLOOKUP ใน EXCEL เบื้องต้น
- [@รหัสพนักงาน] คือ Cell ที่ต้องการค้นหากับอีกตาราง ซึ่งในอีกตารางต้องมีข้อมูลที่เหมือนกัน เช่น Sheet "ชื่อ" มีรหัสพนักงาน Sheet "อายุงาน" ก็ต้องมีรหัสพนักงานเหมือนกัน เพื่อให้สามารถ Link ข้อมูลกันได้
- อายุงาน!A:C คือ ขอบเขตของข้อมูลใน Sheet "อายุงาน" ที่ต้องการนำมาแสดงใน Sheet "ชื่อ" โดย Column แรก จะต้องเป็นรหัสพนักงานเพื่อนำมา Link กับ Cell รหัสพนักงานที่เราเลือกไว้เท่านั้น
- 3 คือ Column ที่เราต้องการให้แสดง ในที่นี้ เราต้องการแสดงอายุงานใน Sheet "อายุงาน" ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 3 นับจากซ้ายสุดในขอบเขตที่เราเลือก เช่น เราเลือก อายุงาน!A:C แปลว่าเราต้องนับตั้งแต่ A ไป C คือ โดย อายุงาน อยู่ใน Column ที่ 3 จึงใส่เลข 3
- 0 หรือ False คือ ต้องค้นหาเจอเท่านั้นถึงจะนำข้อมูลมาแสดง โดยถ้าไม่เจอก็เป็น Error ไป แต่ถ้าเป็น 1 หากไม่เจอก็จะส่งค่าบางอย่างออกมา(ส่วนใหญ่ใช้ 0 เนื่องจากเราส่วนใหญ่ต้องการหาค่าแป๊ะๆ )
Friday, August 22, 2014
ความแตกต่างระหว่าง Data Conversion กับ Data Migration
เป็นการย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งเป็นการย้ายข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก โดยเป็นการย้ายที่ physical data model หรือ structure ต่างๆ ยังคงเหมือนเดิม ตัวอย่าง เช่น
- ย้ายข้อมูลจาก Hardware หรือ Platform หนึ่งไปยั้งอีก Hardware หรือ Platform หนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีการ Upgrade Hardware
- มีการเปลี่ยนแปลง Version ของ DBMS ไปเป็น Version ใหม่กว่า เช่น SQL Server 2012 ไปเป็น SQL Server 2014
- ย้ายฐานข้อมูลจากฐานข้อมูล MySQL ไปยังฐานข้อมูล Oracle เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลง DBMS Provider
- การแปลงข้อมูลจากฐานข้อมูลหนึ่งไปยัง XML Document
- การแปลงข้อมูลภายในฐานข้อมูล Oracle ไปใช้ Schema แบบใหม่ แต่ยังคงใช้ฐานข้อมูล Oracle เช่นเดิม
สรุป การ Data Migration จะเป็นการย้ายข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลหนึ่งไปยังฐานข้อมูลหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ส่วน Data Conversion จะเป็นการแปลงข้อมูลจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอึกรูปแบบหนึ่ง
Ref :
http://erpschools.com/uncategorized/data-migration-vs-data-conversion-3
http://en.wikipedia.org/wiki/Data_conversion
http://en.wikipedia.org/wiki/Data_migration
Monday, October 7, 2013
วิธีใส่รูปภาพใน MS Word โดยใช้ MailMerge
วิธีการใส่รูปภาพใน Word โดยใช้ Mailmerge
1. ทำ Mailmerge โดยวิธีปกติ link word กับ excel
2. กด Ctrl+F9 จะขึ้นปีกกา { }
3. คลิ๊กขวาที่ปีกกา คลิ๊กเลือก Edit Field
4. เลือก IncludePicture แล้วกรอกที่อยู่ไฟล์ที่เราต้องการให้แสดงใน Word ที่ช่อง Filename or URL เช่น d:\\pic\\john.jpg แล้วกด OK
5. ภาพจะแสดง ถ้าภาพไม่ขึ้น แสดงว่ามีอะไรผิดพลาด อาจจะเป็นที่อยู่ไฟล์ผิด
6. กด ALT+F9 จะแสดง Code มา ดังนี้ {INCLUDEPICTURE "d:\\pic\\john.jpg" \* MERGEFORMAT}
7. ลบชื่อรูปภาพออกไป ในที่นี้ให้ลบคำว่า john ออก
8. แล้วกดปุ่ม Insert Merge Field บน toolbar แล้วเลือกข้อมูลที่เราจะนำมาแสดง (ขั้นตอนนี้ห้ามพิมพ์ code เอง ให้กด Insert Merge Field เท่านั้น)
9. กด ALT+F9 รูปจะแสดงอีกครั้ง
10. คลิ๊ก Finish & Merge แล้วกด Edit Individual Document
11. เลือก record ที่เราต้องการ กด OK
12. จะได้ไฟล์ Word ตัวใหม่ขึ้นมาที่มีภาพของแต่ละ Record จาก Excel ไฟล์ที่เราใส่ข้อมูลไว้
13. กด CTRL+A แล้วกด F9 รูปทั้งหมดจะ Update
จบ...แบบเร็วๆ
Friday, May 17, 2013
คำถามที่พบบ่อยเมื่อต้องซื้อโปรแกรมมาใช้ในบริษัทซักตัว
1. ฟังก์ชั่นต่างๆ เป็นอย่างไร ตรงตามความต้องการของเราหรือไม่ ดังนั้นเราจึงต้องรู้ความต้องการของเราให้ชัดเจนเสียก่อน ซึ่งจะไม่ขอพูดในเรื่องนี้ ยาว...
2. การนำเข้าข้อมูลเดิมจะนำเข้าอย่างไร
3. การดูแลข้อมูล แก้ไข ลบ เพิ่ม นำเข้า เอาออก ทำอย่างไร
4. รายงานสรุป วิเคราะห์นู่นนี่นั้น มีตามที่เราต้องการหรือไม่
5. กำหนดสิทธิ์การเข้าใช้งานได้ละเอียดเพียงใด
6. เก็บข้อมูลการเข้าใช้ระบบได้หรือไม่ (log)
7. การ support ระบบ โทรแจ้งปัญหาแล้วจะมาแก้ไขโดยวิธีใด Remote, On Site แล้วใช้เวลาแก้ไขแต่ละ Case นานเท่าใด เช่น เมื่อแจ้งปัญหาไปแล้วจะ Remote เข้ามาภายในกี่ชั่วโมง หรือจะเข้ามา On Site ภายในเวลาเท่าใด
8. การ support ระบบ คิดค่าใช้จ่ายรายครั้งหรือไม่ อย่างไร
9. การดูแลรักษาระบบ สัญญาเป็นารายปี เดือน หรืออย่างไร
10. การดูแลรักษาระบบ การ upgrade software จะมีหรือไม่ ปีละกี่ครั้ง
11. การดูแลรักษาระบบ แต่ละครั้งเข้ามาทำอะไรบ้าง
Tuesday, November 29, 2011
วิธีสร้าง Sen Framework หรือกรอบการทำงาน
1. ความเป็นมา เขียนความเป็นมาของงานว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อเหตุผลใด ทำไมจึงต้องมี มีแล้วจะได้ประโยชน์อะไร
2. กำหนดวัตถุประสงค์ของงาน กำหนดวัตถุประสงค์ของงานให้ชัดเจน สามารถวัดได้โดยอาจใช้เรื่อง SMART Objective ช่วย
3. กำหนดขอบเขตงาน กำหนดงานของเราว่าจะทำในขอบเขตมากน้อยเพียงใด รวมและไม่รวมในส่วนใดบ้าง
4. กำหนดหน้าที่ของงาน กำหนดหน้าที่ของงานว่าต้องรับผิดชอบในส่วนงานใดบ้าง
5. กำหนด Life Cycle หรือขั้นตอนการทำงาน ของการทำงานนั้นๆ ในภาพกว้างหรือ High Level พร้อมทั้งอธิบายลักษณะงานหลักของแต่ละขั้นตอน เช่น การทำใบขับขี่รถยนตร์ จะได้ขั้นตอนในภาพกว้างคือ ยื่นเรื่องทำใบขับขี่ > สอบใบขับขี่ > ชำระเงิน > ทำบัตร
6. กำหนดขั้นตอนย่อยในแต่ละขั้นตอนที่กำหนดมาจากข้อ 5. อาจเขียนเป็น Block Diagram ธรรมดาก็ได้
7. สร้างระเบียบวิธีการทำงานในแต่ละขั้นตอนย่อย เช่น อธิบายขั้นตอน มีกฏเกณฑ์หรือระเบียบอย่างไร ต้องใช้เอกสารอะไรที่เกี่ยวข้อง
8. สร้างเอกสารที่เกี่ยวข้องในแต่ละขั้นตอนย่อยเป็น Template ไว้ โดยแบ่งหมวดหมู่ตาม Life Cycle หรือขั้นตอนที่กำหนด
Monday, June 6, 2011
Flowchart คืออะไร
flowchart เป็นแผนผังประเภทหนึ่งที่แสดงกระบวนการหรือ algorithm ที่จะแสดงเป็นขั้นเป็นตอน โดยเชื่อมต่อระหว่างกระบวนการหรือแสดงเส้นทางการไหลโดยเส้นและลูกศร นิยมใช้กันตั้งแต่ปี 1960 โดยใช้เป็นแผนที่ logic ของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ใช้ในการพัฒนางาน ใช้แสดงกระบวนการทำงานในปัจจุบันเพื่อหาจุดบกพร่องของงาน
เมื่อไหร่จึงจะใช้ Flowchart
ควรใช้เมื่อมีความต้องการในการพัฒนากระบวนการใดๆ ในปัจจุบัน(as-is) ซึ่ง flowchart จะช่วยให้ทีมงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนากระบวนการเข้าใจถึงกระบวนการที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และสามารถนำไปเปรียบเทียบกับกระบวนการในอนาคต(to be) เพื่อพัฒนากระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ใช้เมื่อต้องการวิเคราะห์หรือกำหนดกระบวนการ ทั้งรายละเอียดของ action และการตัดสินใจ
- ใช้เมื่อต้องการหาปัญหาได้อย่างตรงจุดในกระบวนการ
- ใช้เมื่อประเมินศักยภาพหรือประสิทธิภาพของกระบวนการ เพื่อช่วยระบุว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
- ใช้เมื่อต้องการสื่อสารหรือฝึกอบรมเบื้องต้น เพื่อให้มีความเข้าใจที่ตรงกันในรายละเอียดของกระบวนการ
ประโยชน์ของการใช้ Flowchart
- ทำให้ทุกคนเข้าใจกระบวนการที่ถูกจัดทำเป็นลำดับภาพ(ให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกัน) : โดยทั่วไปแต่ละคนอาจมีแนวความคิดที่แตกต่างกันไปเกี่ยวการกระบวนการทำงาน flowchart จึงสามารถช่วยให้เข้าใจตรงกันในขั้นตอนหรือลำดับของกระบวนการ และยังแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจของผู้เขียนกระบวนการที่เขียนขึ้นมาว่าถูกต้องกับสิ่งที่เป็นจริงหรือไม่
- เป็นเครื่องมือสำหรับฝึกอบรมพนักงาน : เป็นเครื่องมือช่วยในการฝึกอบรมพนักงานใหม่หรือเก่าในการทำงานให้ได้ตามมาตรฐานกระบวนการที่ได้มีการกำหนดไว้
- ทำให้ทราบปัญหาและโอกาสในการพัฒนากระบวนการ : ถ้ามองลึกลงไปในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการและภาพ diagram จะเห็นปัญหาได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นโอกาสในวิเคราะห์ปัญหาในกระบวนการได้ตรงจุด ทราบถึงขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน และงานที่วนไปวนมาไม่มีประสิทธิภาพ
สัญลักษณ์ที่ใช้ใน Flowchart
รูปไข่ (Oval) : ใช้แสดงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของกระบวนการ
กล่อง (Box) : แสดงถึงขั้นตอนหรือกิจกรรมในแต่ละกระบวน
เพชร (Diamond) : แสดงจุดที่ต้องตัดสินใจ เช่น ใช่/ไม่ใช่ หรือ ไป/ไม่ไป โดยในแต่ละทางเลือกจะต้องมีทางใดทางหนึ่งที่เป็นคำตอบเสมอ
วงกลม (Circle) : แสดงการเชื่อมต่อภายในหน้าเดียวกัน โดยจะมีตัวเลขในวงกลมแสดงว่าจุดใดที่มีการเชื่อมต่อกัน
รูปห้าเหลี่ยม (Pentagon) : แสดงถึงจุดเชื่อมต่อไปยังหน้าอื่นๆ โดยจะมีตัวหนังสือเขียนกำกับว่าเชื่อมต่อกับหน้าใด
เส้นการไหล : แสดงทิศทางการไหลของกระบวนการ
ระดับในการเขียนรายละเอียดของ Flowchart
เมื่อต้องการพัฒนาอะไรบางอย่างโดยใช้ flowchart สิ่งที่ควรพิจารณาคือใครจะเป็นผู้นำข้อมูลที่เราเขียนไปใช้งาน และต้องการใช้งานข้อมูลมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะช่วยให้เราทราบถึงระดับของรายละเอียดการเขียน flowchart ได้
Macro Level : ระดับนี้เป็นระดับที่ไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดมากในระดับการทำงานของกระบวนการ แต่จะเขียนเป็นภาพกว้างๆ เพียงพอสำหรับจุดประสงค์การนำ flowchart ไปใช้งาน โดยทั่วไปแล้วระดับ macro level นี้จะเขียนไม่เกิน 6 ขั้นตอน ตัวอย่างเช่น เราอยู่บนเครื่องบินที่ระดับ 30,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล แล้วมองลงมาเห็นทะเล พื้นดิน ภูเขา
Mini Level : เป็นระดับที่อยู่กึ่งกลางระหว่างภาพกว้างๆ macro level กับ micro level ซึ่งโดยปกติแล้วจะเจาะลงไปในส่วนใดส่วนหนึ่งของ flowchart ระดับ macro level ตัวอย่างเช่น เราอยู่บนเครื่องบินที่ระดับ 10,000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล แล้วมองเห็นบนพื้นดินมีเมืองหลายๆ เมือง หรือมีภูเขาหลายๆ ลูก ฯลฯ
Micro Level : เป็นมุมมองระดับพื้นดินที่เห็นรายละเอียดได้ครบทุกส่วน โดยจะบันทึกทุกข้อมูล ทุกกิจกรรมหรือทุกการกระทำ ทุกการตัดสินใจ ซึ่งรูปแบบนี้จะใช้เพื่อเป็นตัวบอกวิธีการทำงานอย่างละเอียด เช่น เราอยู่บนเครื่องบินระดับที่สามารถมองเห็นได้ทุกๆ รายละเอียดของเมือง เห็นทุกบ้าน และเห็นไปถึงภายในบ้าน
วิธีการเขียน Flowchart
- ระบุผู้ที่เป็นคนเขียน flowchart ให้ถูกต้อง
- พิจารณาว่าอะไรที่คาดหวังว่าจะได้จาก flowchart
- ระบุว่าใครที่จะใช้ flowchart
- กำหนดระดับในการเขียน flowchart ที่ต้องการ
- กำหนดขอบเขตของกระบวนการหรือการเขียน flowchart
สิ่งสำคัญที่จะทำให้การเขียน Flowchart ประสบความสำเร็จ
- เริ่มต้นด้วยภาพกว้างๆ ก่อน : เขียน flowchart ในระดับ macro level ก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นจะสามารถเขียนในระดับที่ลึกลงไปในแต่ละส่วนได้
- เข้าไปสังเกตการณ์ในกระบวนการ : ทางที่จะทำให้การเขียน flowchart ประสบความสำเร็จได้ต้องเข้าไปเห็นกระบวนการทำงานจริง จึงจะเห็นภาพการทำงานที่เกิดขึ้นได้อย่างครบถ้วน
- บันทึกขั้นตอนของกระบวนการจากการเข้าไปสังเกตการณ์ : บันทึกขั้นตอนที่เกิดขึ้น เขียนขั้นตอนบนบัตรบันทึก(Post-it) จัดเรียงลำดับไว้ โดยใช้สีที่แตกต่างกันเพื่อแสดงกลุ่มการทำงาน ซึ่งจะทำให้เข้าใจกระบวนการทำงานได้มากขึ้น
- จัดเรียงลับดับเป็นขั้นเป็นตอน : จัดเรียงบัตรบันทึก(Post-it) ที่บันทึกไว้จากการเข้าไปสังเกตการณ์ วางให้ครบตามจริงที่บันทึกมา
- เขียน flowchart : เขียนจากข้อมูลต่างๆ ที่ได้ไปสังเกตการณ์ การบันทึก และจัดเรียงลับดับขั้นตอน
การเขียน flowchart เพิ่อปรับปรุงกระบวนการทำงานแนวใหม่
กระบวนการทำงานสมัยก่อนส่วนใหญ่แล้วจะถูกกำหนดโดยผู้ปฏิบัติงานหรือเจ้าของบริษัท แต่ในปัจจุบันความต้องการของผู้บริโภค ความหลากหลายของพฤติกรรม รวมถึงการแข่งขันมีมากขึ้น ทำให้กระบวนการทำงานขององค์กรต่างๆ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของผู้บริโภคหรือลูกค้า เช่น สมัยก่อนลูกค้าไม่ได้ต้องการความรวดเร็วในการบริการมากนัก แต่ในปัจจุบันที่ยุคสมัยเปลี่ยนไปลูกค้ารุ่นใหม่เกิดมาพร้อมความรวดเร็วของเทคโนโลยี และหากองค์กรยังไม่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบบริการให้รวดเร็วทันต่อความต้องการของลูกค้า จะทำให้ไม่สามารถแข่งขันในธุรกิจยุคใหม่ได้ เช่น ลูกค้าต้องการความรวดเร็ว องค์กรก็ต้อเปลี่ยนกระบวนการให้เร็วขึ้น หรือลดกระบวนการใดที่ไม่จำเป็นลง ดังนั้นการเขียน flowchart เพื่อปรับปรุงกระบวนการยุคใหม่นี้ จำเป็นจะต้องเขียน flowchart ในมุมของลูกค้าก่อนเป็นอันดับแรก จึงจะเขียน flowchart ขององค์กรให้ตรงตาม flowchart ที่ลูกค้าต้องการ
ref:http://www.edrawsoft.com
ref:wikipedia
Tuesday, April 5, 2011
BPM : Business Process Management คืออะไร
เป็นกิจกรรมหรืองานที่ต้องทำตามขั้นตอน โดยเป็นชุดของขั้นตอนหรือกิจกรรมที่ตอบสนองวัตถุประสงค์ของธุรกิจหรือนโยบาย ซึ่งโดยปกติแล้วการจัดโครงสร้างองค์กรจะกำหนดบทบาทหน้าที่และความสัมพันธ์ระหว่างขั้นตอนหรือกิจกรรมไว้อยู่แล้ว
Business Process สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. Management processes เป็นกระบวนการในการกำกับดูแลการทำงานของระบบ โดยจะรวม Corporate Governance และ Strategic Management เอาไว้
2. Operational processes เป็นกระบวนการที่ประกอบขึ้นเป็นธุรกิจหลัก เช่น การจัดซื้อ การผลิต การโฆษณา การตลาดและงานขาย
3. Supporting processes เป็นการบวนการที่สนับสนุนกระบวนการหลักของธุรกิจ เช่น Accounting, Recruitment, Call center, Technical support
Workflow คือ
พื้นฐานเกี่ยวกับการจัดระเบียบของงาน และเป็นชุดของกิจกรรมที่ประสานงานระหว่างบุคคลหรือซอร์ฟแวร์ กระบวนการทำงานที่ดำเนินงานโดยอัตโนมัติ อาจจะเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด ซึ่งอาจจะใช้เป็นเอกสาร ข้อมูล หรืองานที่ทำโดยผู้ใดผู้หนึ่งไปยังอีกผู้หนึ่งตามกฏระเบียบของขั้นตอนที่กำหนดไว้
Process Definition คือ
เป็นการแสดงกระบวนการของธุรกิจ ในรูปแบบที่สนับสนุนการจัดการแบบอัตโนมัติ อย่างเช่นการสร้างแบบจำลองหรือกำหนดกฏเกณฑ์โดยระบบบริหารจัดการ workflow โดย process definition จะประกอบไปด้วยเครือข่ายของกิจกรรมและความสัมพันธ์ของกิจกรรม
BPM คือ
BPM หรือ Business Process Management คือ หลักการของการพัฒนา การดำเนินงาน การวัดประสิทธิภาพ และจำลองกระบวนการทางธุรกิจ (Business Processes) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทางธุรกิจเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง end-to-end ตั้งแต่ต้นกระบวนการถึงสิ้นสุดกระบวนการ รวมถึงวิธีการของการพัฒนากระบวนการ และเครื่องมือที่ใช้สำหรับพัฒนากระบวนการ เช่น การเก็บข้อมูลของกระบวนการทำงาน รวมทั้งการการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการ และเครื่องมีอในการวิเคราะห์กระบวนการ(BPA-business process analysis) การสร้างแบบจำลอง และการวิเคราะห์ BPM suites(BPMS) สำหรับกระบวนการแบบอัตโนมัติ ฯลฯ
ผลประโยชน์ของการทำ Business Process Mananagement
- มีมาตรฐานของกระบวนการ/วิธีการ บอกว่ามีความต้องการทางธุรกิจอย่างไร (Business Requirement) และเมื่อต้องการพัฒนากระบวนการทำงานทางธุรกิจ จะสามารถนำระบบ IT พัฒนาซอฟต์แวร์หรือระบบให้สอดคล้องกับ Business Process นั้น
- ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (10-15%)
- เพิ่มคุณภาพ และลดการผิดพลาดของกระบวนการ (20-30%)
- ลดเวลาในการฝึกอบรม(ค่าใช้จ่าย) (10-30%)
- ลดจำนวนของการร้องขอการสนับสนุนการทำงานภายใน (15-30%)
- ลดจำนวนการร้องเรียนจากลูกค้า (20-30%)
Thursday, December 30, 2010
Smart TV คืออะไร
Monday, October 25, 2010
รวมวิธีแก้ปัญหา/tips Galaxy Tab
1.4 เปิดโปรแกรม Kies ขึ้นมาแล้วกดที่ปุ่มโปรแกรมเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต(เป็นรูปโลก)
1.5 ตั้งค่าการเชื่อมต่อตาม SIM ที่ใช้อยู่เช่น AIS, DTAC, TRUE แล้วกดปุ่มเชื่อมต่อ
http://www.66.com/samsung
http://www.66.com/samsung/index.php?cid=TH&act=1
ขั้นตอนการติดตั้ง(จากเว็บ samsung บอก)
1. คลิกที่ลิงก์เพื่อเริ่มการดาวน์โหลด
2. บันทึก archive ลงไปในคอมพิวเตอร์ เเละเเยกข้อมูลที่อยู่ในarchive ออกไปใส่ในโฟลเดอร์ใหม่
3. ดึงการ์ดความจำออกจากเครื่องและใส่เข้าในตัว reader/writer
4. เชื่อมต่อการ์ดความจำ reader/writer เข้ากับพอร์ท USB ของเครื่อง computer
5. คัดลอกข้อมูลที่เเยกออกมาจากขั้นตอนที่สอง ( ไฟล์ชื่อ ROUTE66Maps5.apk เเละ โฟลเดอร์ชื่อ ROUTE66_V10) เข้าไปใส่ในการ์ดความจำ เเนะนำว่าควรฟอร์เเมตการ์ดความจำเเละเครื่องก่อนที่จะทำการคัดลอก หากไม่ต้องการฟอร์เเมตเครื่อง กรุณายกเลิกการติดตั้งไฟล์ ROUTE66Maps5.apk
อีก วิธีหนึ่งในการติดตั้งโปรแกรมลงในหน่วยความจำภายในของโทรศัพท์ คือให้เชื่อมต่อโทรศัพท์เข้ากับเครื่อง PC ด้วยสายข้อมูล USB และสวิตช์โทรศัพท์ไปที่โหมด “หน่วยเก็บข้อมูล”
6. ดึงการ์ดความจำออกจากตัว reader/writer แล้วใส่คืนเข้าไปในโทรศัพท์
อีกวิธีหนึ่ง หากคัดลอกข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำภายในเครื่องเเล้ว ถอดการเชื่อมต่อของสายเคเบิ้ล USB
7. หลังจากที่ฟอร์เเมตการ์ดความจำเรียบร้อยเเละคัดลอกไฟล์ลงการ์ดความจำเเล้ว เปิดไฟล์ ROUTE66Maps5.apk เพื่อเริ่มการติดตั้งโปรเเกรม
8. ตั้งการเชื่อมต่ออินเตอร์เนต (3G หรือ WiFi) โดยใช้เมนูการตั้งค่าของเครื่อง
9. เปิดโปรเเกรม ROUTE 66 Maps 5 จากเมนู
10. หากการเชื่อมอินเตอร์เนตถูกต้อง โปรเเกรมจะขึ้นออนไลน์อัตโนมัติเมื่อเปิดใช้งาน
สุดท้ายฟังเพลง บังอาจรักเธอ จาก App Solo Lite กัน